Hyatt Regency Bangkok Sukhumvit สถานที่แต่งงานติดรถไฟฟ้า ห้องสวยโมเดิร์น พร้อมจอ LED ขนาดใหญ่ เปลี่ยนบรรยากาศให้งานดูสนุก และไม่เหมือนใคร
ปอยกับป๊อกเป็นคู่ที่เตรียมงานกันเอง เพราะคิดว่ามีเวลาเกือบปี แต่ด้วยความที่เราทำงานประจำ ไม่ว่างรีเสิร์ชข้อมูล เลยเลือกไปเดินเวดดิ้งแฟร์งานหนึ่ง พอเจอแพ็กเกจชุดแต่งงานพร้อมพรีเวดดิ้งก็จอง ทั้งที่ยังไม่ได้สถานที่เลยด้วยซ้ำ! เราคิดว่าอยากให้จบเป็นเรื่อง ๆ แต่สุดท้ายกลับไม่จบค่ะ เช่น ชุดแต่งงานที่อยากได้ติดจอง, ช่างแต่งหน้าวันถ่ายพรีเวดดิ้งไม่ถูกใจ, รูปได้มาน้อย ต้องจ่ายเพื่อซื้อภาพเพิ่ม ก็เป็นข้อเตือนใจว่าถ้าเรารีบร้อน อาจทำให้เสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนได้ค่ะ
พบสิ่งที่ใช่ในวันที่เริ่มคิดรอบคอบขึ้น
หลังจากได้บทเรียนแล้ว เราก็ทำการบ้านเพิ่มเรื่องสถานที่จัดงานแต่ง จากประสบการณ์งานของพี่ชาย ซึ่งจัดแบบเอาต์ดอร์ แขกสูงวัยจะไม่ค่อยแฮปปี้ เพราะอากาศร้อน เราจึงตั้งต้นว่าต้องจัดงานในโรงแรมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบค่ะ จนวันหนึ่งแอดโฆษณาเวดดิ้งโชว์เคสของ Hyatt Regency Bangkok Sukhumvit (ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท) เด้งขึ้นมา เราเลยลงทะเบียนไปเพื่อจะได้เห็นห้องจัดงานจริง
สำหรับป๊อก เขาชอบเพดานห้องบอลรูมที่มีดีไซน์หกเหลี่ยมและติดคิ้วสีทอง ดูเรียบหรูดี แล้ว Ceiling สูง ยิงเปเปอร์ชู้ตหรือสโมคต่าง ๆ น่าจะสวย โยนดอกไม้ก็ไม่ต้องกลัวติดโคมไฟค่ะ ยิ่งพอได้คุยกับคุณนก Wedding Specialist เขาแนะนำว่าจะมีจอ LED ขนาดใหญ่ใหม่ล่าสุดมา ถ่ายรูปแล้วไม่เป็นเส้น เราก็จะสามารถตัดงบตกแต่งบางส่วนได้ ปอยมองว่าน่าสนใจมาก เมื่อนำราคาและรายละเอียดต่าง ๆ มาเปรียบเทียบกับโรงแรมอื่นแล้ว เราจึงตัดสินใจเลือกที่นี่ค่ะ
โทนงานสีขาวเรียบหรู มีจอ LED ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศ
ธีมงานทั้งเช้าและเย็น เรายึดโทนสีขาว-ครีม เน้นความคลีน สบายตาค่ะ โดยงานหมั้น ทางโรงแรมจัดดอกไม้สีขาวใส่แจกัน วางด้านหลังเก้าอี้บนเวที รวมถึงมีดอกไม้ตรงจุดรับตัวนิดหน่อย ส่วนงานฉลอง ตรงฉากแบ็กดรอปจะมีซุ้มโค้ง เพราะเราอยากเพิ่มมิติเข้าไป เวลาถ่ายรูปจะได้ดูสวย เสริมด้วยเทียนเพื่อให้บรรยากาศดูโรแมนติกมากขึ้นค่ะ
ไฮไลต์ของงานกลางคืนอยู่ตรงฉาก LED บนเวทีค่ะ ด้วยขนาดที่ใหญ่ ทำให้ภาพในงานสวยและดูอลังการไปเลย โดยเราเลือกฉากให้หลากหลาย เพื่อสร้างบรรยากาศที่แตกต่าง เช่น ตอนเปิดตัวเป็นฉากออโรร่า พอช่วงคำถามก็เป็นผีเสื้อบิน ตอนตัดเค้กเป็นพลุ หรืออาฟเตอร์ปาร์ตี้ก็เป็นฟีลนีออน ซึ่งวันจริงคุณนกช่วยทำมาให้เพิ่ม เราหันไปเห็นก็รู้สึกเซอร์ไพรส์ เพราะไม่ได้มีแค่เส้นนีออน แต่มีตัวอักษรไฮเทค ๆ วิ่งด้วย เรียกว่าจอนี้ช่วยเรื่องการตกแต่งและเปลี่ยนมู้ดได้ดีมาก ๆ ค่ะ
ลุคเจ้าสาว 3 ชุด ส่วนเจ้าบ่าวหล่อแบบมีเทกซ์เจอร์
ของป๊อกคิดไว้อยู่แล้วว่าอยากใส่ทักซิโด้สีดำ แต่คุณพ่อคุณแม่มองว่า วันแต่งงานเราจะใส่สีดำล้วนเลยเหรอ จึงเลือกใส่ทักซิโด้สีเข้มตอนเช้า ตัดด้วยผ้าเช็ดหน้าสีชมพู ส่วนตอนเย็นเปลี่ยนเป็นทูโทนแทน
สำหรับชุดเจ้าสาวงานเช้าจะมีระบายข้างหลัง ซึ่งถอดออกได้ ทำให้ได้ 2 ลุคค่ะ พอขึ้นเวทีก็ถอดเคปหลังออกจะได้นั่งสบาย พองานเย็นก็เป็นตัวเองมากขึ้น ปอยเลือกใส่เกาะอกปักลายดอกไม้ จริง ๆ มีถุงมือด้วย แต่ด้วยความที่เรารีบ ก็เลยลืมใส่ เพิ่งมานึกได้ตอนงานจบ แต่โชคดีที่เราใส่สร้อยข้อมืออยู่แล้ว ก็ถือเป็นโชว์ Accessory ไป ส่วนชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้เป็นเกาะอกสั้น ดูเซ็กซี่ขี้เล่น แต่ชุดนี้ไม่ลืมใส่ถุงมือแล้วค่ะ (หัวเราะ)
พิธีอบอุ่น สนุกสนาน งานนี้มีเซอร์ไพรส์จากเจ้าบ่าว
งานเช้าเริ่มด้วยการแห่ขันหมากค่ะ มีกั้นประตูแค่ 5 ด่านเบา ๆ จากนั้นป๊อกก็เข้าไปไหว้ผู้ใหญ่ แล้วก็ออกมารับตัวปอยเข้าไปทำพิธีสวมแหวน ทานขนมอี๊ ยกน้ำชา ซึ่งเราก็มีความเขินหน่อย ๆ เพราะเคยเป็นเด็กในสายตาเค้า แต่ตอนนี้เราโตพอที่จะมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว ตรงนี้ปอยประทับใจความเอ็นดูและคำอวยพรจากผู้ใหญ่ทุกท่านมาก ๆ ค่ะ
พอถึงช่วงงานเย็น เราเริ่มเลทเพราะช่างแต่งหน้ามาช้า ตอนนั้นหายใจไม่ทั่วท้องเลย ทุกอย่างเร่งไปหมด แต่สุดท้ายก็ต้อง Go on! เริ่มจากรับแขกหน้าแบ็กดรอป เสร็จแล้วพิธีกรจะเปิดพรีเซนเทชั่นแนะนำบ่าวสาวก่อน จากนั้นเราถึงจะเดินคู่กันเข้าไปในห้อง เมื่อขึ้นเวทีก็จะยิงกลิตเตอร์สีทอง ให้มีความแกรนด์ด้วยค่ะ
งานเราไม่มีประธาน แต่จะให้คุณพ่อคุณแม่ของทั้งสองฝ่ายขึ้นมาอวยพร ดื่มแชมเปญร่วมกันค่ะ หลังจากนั้นก็พูดคุยกับบ่าวสาว จบแล้วป๊อกมีโชว์ร้องเพลง “รักแรกพบ” ของ Tattoo Colour เพื่อเซอร์ไพรส์ปอยค่ะ ซึ่งก่อนหน้านี้ป๊อกแอบฝึกร้องตอนขับรถกลับบ้านมาตลอด แล้วซ้อมกับวงดนตรีในวันจริงแค่รอบเดียวเลย เขาร้องไปก็เขินไป แต่เป็นช่วงที่ปอยซาบซึ้งกับความตั้งใจของเขามาก ๆ ค่ะ
เราอยากให้งานสนุกสนาน แขกได้มีส่วนร่วม ก็เลยนำเอากล่องสุ่มมาแจกในงานด้วย โดยตอนลงทะเบียน ทุกคนจะหยิบกระดาษตัวเลข 1-250 ไป (ซึ่งเราใช้วิธีนี้เป็นการนับจำนวนแขกไปในตัว) แล้วในงานจะจับฉลากแจก Art Toy ส่วนรางวัลใหญ่เป็นแก้วจาก Pop Mart ค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมส่วนใหญ่เพื่อนเจ้าบ่าวได้ทั้งนั้นเลย
จากนั้นก็มาถึงช่วงตัดเค้กและโยนดอกไม้ ความพิเศษคือเราแตกเป็น 3 ช่อเล็ก ซึ่งคนที่ได้ช่อดอกไม้ก็จะได้รับกล่องสุ่มเหมือนกันค่ะ อันนี้เป็นไอเดียเจ้าบ่าว เพราะอยากเพิ่มโอกาสให้คนได้รับช่อดอกไม้มากขึ้น
มาถึงช่วงที่ทุกคนรอคอยอย่างงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ เราเปิดตัวด้วยการรินแชมเปญทาวเวอร์และยิงปืน CO2 เพื่อบอกว่าปาร์ตี้เริ่มแล้วนะ ส่วนเรื่องดนตรี ในงานพิธีต่าง ๆ เราให้วงร้องสดทั้งหมดเลยค่ะ แต่จะลิสต์เพลงให้ว่าช่วงไหนใช้เพลงอะไร เราใช้วงเดียวยาวจนถึงปาร์ตี้เลย แต่พอช่วง 5 ทุ่มถึงเที่ยงคืนจะเป็นดีเจค่ะ
แขกชมทั้งงาน บ่าวสาวก็หายเหนื่อย
งานแต่งนี้เราหาทุกอย่างด้วยตัวเอง แล้วผลลัพธ์ที่ออกมาคอมพลีต เราก็หายเหนื่อยค่ะ ส่วนสำคัญคือโรงแรมที่ซัพพอร์ตตั้งแต่วันที่ไปดูสถานที่ แล้วพนักงานทุกคนบริการดี ดูแลประหนึ่งเราคือคนสำคัญของเขา อย่างเราไปใช้บริการเลาจน์ก่อนวันงาน พนักงานก็ทักว่า “อย่าดื่มเยอะนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่ไหว” ทำให้เราอึ้งเลยว่าเขารู้ด้วยเหรอว่าเราเป็นคู่ที่จะแต่งงาน รวมถึงคุณนกที่ช่วยแก้ปัญหาแบบมือโปร ทำให้งานราบรื่น จนแขกชมว่าจัดงานดีมาก แสงสีเสียงครบ อาหารก็อร่อย โดยเฉพาะเนื้อตุ๋น ซาชิมิ และยำส้มโอกุ้ง ผู้ใหญ่ถูกใจมากค่ะ
คำแนะนำสำหรับบ่าวสาว
อย่าตัดสินใจเร็วเกินไป : ถ้ามีเวลาควรรีเสิร์ช ลิสต์ร้านค้าที่ถูกใจให้ดี อย่าเพิ่งรีบจองถ้ายังไม่ได้เห็นของจริง โดยเฉพาะแพ็กเกจแบบรวมทุกอย่าง เพราะอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มทีหลังได้ แต่หากไม่มีเวลา ให้สอบถามจากผู้ที่มีประสบการณ์ หรือควรมีเวดดิ้งแพลนเนอร์มาช่วย
ศึกษางานจริงก่อนลงดีเทล : นอกจากดูห้องจัดงานแล้ว ควรสอบถามเซลล์ เพื่อเข้ามาดูตัวอย่างงานแต่งจริง ซึ่งจะทำให้เห็นภาพรวม ทั้งการจัดโต๊ะ การเสิร์ฟอาหาร แสงสีต่าง ๆ และรู้ว่างานของเราควรจะปรับหรือเสริมอะไรบ้าง
ปรึกษาผู้ใหญ่ด้วย : งานแต่งงานไม่ใช่งานของเราคนเดียว แต่เป็นงานครอบครัวที่มาปรองดองกัน บ่าวสาวควรปรึกษาผู้ใหญ่ด้วยว่ามีอะไรที่อยากให้ทำ เพื่อให้ถูกใจทุกฝ่าย
อย่าแบกทุกอย่างไว้คนเดียว : ควรแบ่งหน้าที่ให้เพื่อนหรือญาติมาช่วยเช็กความเรียบร้อย เพราะวันจริงบ่าวสาวจะแทบไม่มีเวลา หากไม่มีคนช่วยเป็นแม่งาน จะทำให้เราคอยกังวลจนเครียดได้
Photographer : AiStudio Wedding