Siloo’et House สถานที่แต่งงานสไตล์โรงนาสีขาวกลางสวน ได้ฟีลอบอุ่นหัวใจ พร้อมบริการครบจบในที่เดียว
นิ้งกับพี่ธีร์ (เจ้าบ่าว) เห็นตรงกันว่าไม่อยากจัดงานแต่งในโรงแรม เพราะชอบงาน Daylight บรรยากาศอบอุ่นเหมือนจัดที่บ้าน ขณะเดียวกันก็อยากให้มีส่วนอินดอร์ไว้หลบแดด เพราะเจ้าสาวขี้ร้อนมาก รวมถึงต้องมีที่จอดรถเพียงพอด้วย แม้โจทย์จะชัดเจน แต่เราใช้เวลาหาสถานที่นานพอสมควร ทั้งทำการบ้านผ่านออนไลน์ อ่านรีวิวหลายที่ รวมถึง SabuyWedding จนมาเจอ Siloo’et House (ซิลูเอท เฮ้าส์) ก็รีบนัดไปดูสถานที่จริงค่ะ
หลังพูดคุยดีเทลเสร็จ นิ้งกับพี่ธีร์เดินออกมามองหน้ากันแล้วบอกว่า 'ที่นี่แหละที่ของเรา' ดูที่แรกที่เดียว จองเลยภายใน 30 นาที เพราะชอบบรรยากาศ สถานที่สะอาด อบอุ่นตรงใจ อีกทั้งทีมงานเชี่ยวชาญและเข้าใจสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง แถมยังมีบริการแบบครบวงจรด้วย เราเลยให้ทางสถานที่ดูแลภาพรวมของงานทั้งหมดค่ะ
ครีเอตธีมงานจากชื่อบ่าวสาว 'Moreninktee' อบอุ่นเหมือนนั่งจิบชายามเช้า
‘ความอบอุ่น’ คือนิยามของงานแต่งเราค่ะ นิ้งอยากให้แขกเดินเข้ามาในงานก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ผ่อนคลาย โดยนิ้งปิ๊งไอเดียชื่อว่า 'Moreninktee' จากชื่อเล่น นิ้ง และ พี่ธีร์ ที่ล้อไปกับภาษาอังกฤษว่า Morning Tea คอนเซ็ปต์งานแต่งเป็นบรรยากาศเหมือนนั่งจิบชาชิล ๆ รับแสงแดดอุ่น ๆ ยามเช้าค่ะ เราจึงเลือกให้งานดูสดใสในธีมสีคัลเลอร์ฟูล พาสเทล เป็นทั้งสีตกแต่งและเดรสโค้ด ที่แขกสามารถแต่งตัวสีอะไรมาก็ได้ เพราะอยากให้ทุกคนเข้ามาเป็นสีสันในชีวิตของเราค่ะ
เราเลือกห้อง Lightbrary เป็นมุมแบ็กดรอปถ่ายภาพ ซึ่งเป็นจุดหลักที่ตกแต่งมากเป็นพิเศษ โดยอยากให้ออกมาดูฟุ้ง ๆ ฝัน ๆ จึงใส่ก้อนเมฆปุกปุยและดวงดาว ที่สื่อความหมายถึงความฝันได้ดี นอกจากนี้ยังแต่งดอกไม้เป็นชิ้นให้ลอยตัวแทนการจัดพุ่มดอกไม้ เพราะส่วนตัวมองว่าดูน่ารัก
เราไม่ใช้ดอกไม้เยอะ เพราะไม่อยากรู้สึกเสียดายภายหลังค่ะ ซึ่งเราบอกแขกทุกคนด้วยว่า หลังจบงานสามารถหยิบดอกไม้กลับบ้านไปได้นะ
พอเข้ามาส่วน Main Hall เป็นพื้นที่โปร่งโล่งสบาย สวย แสงดี และเราชอบสไตล์ตกแต่งเดิมมาตั้งแต่แรกแล้ว ด้านในโถงหลักจึงตกแต่งน้อยมาก อย่างบนเวทีที่เป็นทั้งจุดทำพิธีหมั้นและงานเลี้ยง มีแค่ป้ายชื่อบ่าวสาวและก้อนเมฆตกแต่งบริเวณพื้นเท่านั้น ส่วนอื่น ๆ ก็มีวางดอกไม้ตามโต๊ะค่ะ
งานนี้ เรามอบของชำร่วยเป็นชุดปลูกต้นไม้ DIY ใน 1 ชุดมีดินและเมล็ดพร้อมปลูก ซึ่งเราเลือกมามีทั้งผัก-ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ อย่างทานตะวัน คาโมมายล์ มะเขือเทศเชอร์รี แครอท ร็อกเก็ต กะเพรา แขกที่มาร่วมงานสามารถนำกลับไปปลูกกันได้เลยค่ะ
งานกันเอง พิธีการน้อย เน้น 'คำยินดี' และ 'เผยความในใจ' ต่อกัน
เราสองคนโชคดีมากที่ครอบครัวตามใจ ท่านบอกเลยว่าจัดงานแบบไหนก็ได้ ขอแค่ลูกชอบและมีความสุข เราจึงครีเอตงานในแบบเป็นตัวเองได้ อย่างพิธีหมั้นจีนก็ตัดออกไปเยอะค่ะ ไม่มีแห่ขันหมากเลย เพราะไม่อยากให้เจ้าบ่าวเล่นเกม หรือทำอะไรตลก ๆ จนทำให้เขินหรือเครียด อยากให้วันนั้นมีแต่รอยยิ้ม ดังนั้นคิวแรกจะเป็นพี่ธีร์มารับตัวนิ้งตรงแบ็กดรอปเลยค่ะ
จากนั้นก็ทำพิธีมอบสินสอด แลกแหวน ทานขนมอี๋ ตามด้วยให้อากง อาม่า ป๊า ม๊า มาร่วมอวยพร ปิดท้ายด้วยการยกน้ำชาก็จบพิธีหมั้นเช้า ก่อนต่องานเลี้ยงเที่ยง เราก็ยังมีอาหารให้บริการนะคะ เช่น ข้าวต้มหมู ขนมจีบ ติ่มซำค่ะ
อย่างที่บอกว่าอยากให้งานเรียบง่าย แม้กระทั่งชุดเจ้าสาว เราก็เลือกใส่ชุดเดียวยิงยาวไปจนจบงาน เพราะคิดว่าเอาเวลาเปลี่ยนชุดมาพูดคุยและถ่ายรูปกับแขก จะได้มีโมเมนต์ดี ๆ ที่น่าจดจำเพิ่มขึ้นค่ะ
และในวันนั้นเราเพิ่มเรื่องราวแสนพิเศษไปอีกอย่าง ด้วยการนำน้องหมามางานด้วยค่ะ เราจะได้เล่น จกพุง และถ่ายภาพกับน้องในวันสำคัญของเราสองคนได้ค่ะ
ส่วนงานฉลอง ไม่มีพิธีรีตองอะไร ตามใจบ่าวสาวขั้นสุด เริ่มต้นด้วยเปิดตัวนิ้งมาพร้อมคุณพ่อ คุณแม่ โดยพามาส่งให้พี่ธีร์ที่ยืนรออยู่ กระทั่งเราขึ้นบนเวทีไปนั่งที่โต๊ะบ่าวสาว ถึงค่อยเปิดวีดิโอพรีเซนเทชั่นบอกเล่าเรื่องราวการพบเจอกัน เหตุผลที่เราเปิดตัวก่อนเปิดคลิป เพราะอยากเห็นรีแอคชั่นของแขกด้วยค่ะ
จบคลิปแล้วถึงเชิญเจ้านายของเราสองคนมากล่าวคำอวยพร หลังจากนั้นเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าสาว รุ่นพี่ รวม 8 ท่าน พูด Speech จากโต๊ะที่นั่งเลย พอพิธีน้อยจึงสามารถเชิญคนสนิทมาเผยความในใจกันได้ยาว ๆ และการได้นั่งฟังเพื่อน ๆ พี่ ๆ พูดถึงเรา เป็นอะไรที่อบอุ่นใจมากเลยค่ะ จากตอนแรกที่เราตั้งใจวางโต๊ะสำหรับบ่าวสาวบนเวที เพราะหวังจะได้ทานข้าวพร้อมกับแขก ให้มู้ดเป็นกันเอง กลายเป็นว่าเราไม่ได้ทานอยู่ดี เพราะตั้งใจฟังในสิ่งที่เพื่อน ๆ พูดมากเลยค่ะ
แล้วก็ถึงคราวเราสองคนมาสลับกันเผยความในใจ ซึ่งเมื่อสถานที่ไม่ใหญ่ไป ทุกคนจึงมีอารมณ์ร่วมไปกับบ่าวสาวเต็มที่ สังเกตได้ว่าแขกอินไปกับเราในทุกโมเมนต์เลยค่ะ
เมื่อช่วงเวลาแห่งการเผยความในใจจบลง เราก็กล่าวขอบคุณแขก ตัดเค้ก โยนช่อดอกไม้ และเดินคู่กันออกมาด้านนอกให้ฟีลเหมือนปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยเพื่อน ๆ มายืนเรียงโยนกลีบกุหลาบให้ค่ะ
เสร็จแล้วเรายังมีเวลาเหลือพอจะเดินไปแวะเวียนทักทายเพื่อน ๆ และญาติผู้ใหญ่ พร้อมถ่ายรูปกับทุกคนครบถ้วน ซึ่งในงาน เราจัดโต๊ะแบ่งเป็น Long Table และโต๊ะสตูลสำหรับยืนอย่างละครึ่งค่ะ โดยเลี้ยงเมนูบุฟเฟต์ พร้อมซุ้มอาหาร เช่น ข้าวมันไก่ บะหมี่เกี๊ยวเป็ด พาสต้า กระเพาะปลา และนำของหวานเข้ามาเองด้วยเป็นไอศกรีมค่ะ
บ่าวสาวยิ้มไม่หุบ ทุกวินาทีอบอุ่นตรงใจ เพราะทีมงานและสถานที่
เราปลื้มมากที่มู้ดงานอบอุ่นแบบที่เราหวังไว้ และดีใจที่เห็นแขกและคนในครอบครัวมีความสุข ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในงานล้วนมีคุณค่าทางใจกับเรามากค่ะ และด้วยงานของเราไม่มีเวดดิ้งแพลนเนอร์ ทุก ๆ ดีเทลในงาน นิ้งต้องประสานงานเองทุกอย่าง เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็โล่งที่งานราบรื่น ส่วนสำคัญเป็นเพราะได้ทีมงานดี ๆ มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นช่างแต่งหน้า ช่างภาพ วิดีโอ ไปจนถึงรันคิว ต้องขอบคุณทุกทีมที่ทำให้ได้รับแต่ความทรงจำดี ๆ ค่ะ
ส่วนสถานที่ก็ประทับใจมากจริง ๆ ค่ะ ถ้าให้เลือกใหม่ก็ยังเลือกที่นี่ไม่เปลี่ยน เพราะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น และชอบแสงสวยเป็นธรรมชาติของที่นี่มาก ไม่ว่าเราจะยืนตรงไหน ภาพที่ถ่ายออกมาก็ดีงามทุกช็อต ช่างภาพไม่ต้องปวดหัวคิดหามุมเลยค่ะ
คำแนะนำสำหรับบ่าว-สาว
ทำการบ้านให้ดี ดูรีวิวให้เยอะ ก่อนตัดสินใจเลือก : เราสามารถหาข้อมูลและดูรีวิวต่าง ๆ ได้หลายช่องทาง ทั้งจากไอจี เฟสบุ๊ค หรือเว็บรวมงานแต่งอย่าง SabuyWedding สิ่งสำคัญ ควรใช้เวลาให้นานก่อนตัดสินใจเลือก ยิ่งทำการบ้านเยอะเท่าไหร่ งบจะบานปลายน้องลงไปด้วย หากมีข้อสงสัย สอบถามเจ้าสาวรุ่นพี่หรือคนที่เคยใช้ก็ได้ เชื่อว่าเขาพร้อมให้ข้อมูลที่ดีและตามจริงอยู่แล้ว หรือถ้ามีอะไรอยากปรึกษา ทักถามได้ค่ะ (IG : ninkiwinky)
บ่าวสาวควรช่วยกันตัดสินใจ : การเตรียมงานแต่งงานเหมือนงานกลุ่มของคนสองคน ควรตัดสินใจร่วมกัน แล้วถ้าตัดสินใจเลือกกันแล้ว ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับเจ้าอื่นให้รู้สึกลังเล อยากให้คิดว่า สิ่งใดที่เราเลือกแล้วจะดีที่สุดสำหรับเราเสมอ
กังวลให้น้อย ปล่อยจอย ปล่อยใจ : เพราะโมเมนต์ที่เกิดขึ้นในวันแต่งงานมีได้แค่ครั้งเดียว อยากให้เอ็นจอยกับทุกอย่างให้ได้มากที่สุด หากมีอะไรผิดพลาดเล็กน้อย ก็มองเป็นเรื่องขำ ๆ เพราะวันแต่งงานเป็นวันที่บ่าวสาวควรมีความสุข เพื่อสร้างความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน